บีพีเตือนว่ากำไรของบริษัทอาจจะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากมาร์จิ้นที่ต่ำลงในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและการเสื่อมสภาพของประสิทธิภาพในส่วนการค้าน้ำมัน

บริษัทเปิดเผยเมื่อวันอังคารว่า "อัตรากำไรการกลั่นที่ต่ำลงอย่างชัดเจน" จะทำให้ผลประกอบการไตรมาสที่สอง ซึ่งมีกำหนดเผยแพร่สิ้นเดือนนี้ ลดลงระหว่าง 500 ถึง 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ภาพลักษณ์ที่มืดครึ้มของธุรกิจโรงกลั่นสะท้อนสถานการณ์ที่ ExxonMobil ซึ่งในวันจันทร์ก็ระบุว่ามาร์จิ้นที่ลดลงในอุตสาหกรรมจะส่งผลกระทบต่อกำไรในไตรมาสที่สองเช่นกัน

นักวิเคราะห์จาก Jefferies คาดการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาสของ BP จะลดลงประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์จากที่คาดไว้ เนื่องจากการปรับประมาณการของบริษัท

RBC Capital Markets ได้ลดประมาณการกำไรสุทธิของ BP สำหรับไตรมาสที่สองจาก 3.3 พันล้านเป็น 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

หุ้น BP ลดลง 4 เปอร์เซ็นต์ ในการซื้อขายช่วงบ่ายต้น ที่ลอนดอน มาอยู่ที่ 453.80 เพนซ์

แนวโน้มกำไรที่อ่อนแอเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ซีอีโอ Murray Auchincloss พยายามเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา หลังจากที่เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงสุดถาวรในเดือนมกราคมที่ผ่านมา

อดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ที่เข้ารับตำแหน่งแทน Bernard Looney เมื่อปีที่แล้ว พลาดเป้าหมายกำไรของนักวิเคราะห์ในไตรมาสแรก หลังจากที่สัญญาว่าจะมุ่งเน้นที่ผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น

„เราต้องมีความจริงจังและปฏิบัตินิยมเท่านั้น เราต้องส่งมอบผลตอบแทนที่สัญญาไว้ มิฉะนั้นเราจะไม่สามารถดำเนินโครงการไปข้างหน้าได้” เขากล่าวในเดือนพฤษภาคม

บีพีระบุว่าผลการดำเนินงานจากธุรกิจค้าน้ำมันในไตรมาสแรกที่แข็งแกร่ง "อาจอ่อนแอ" ขณะที่การค้าก๊าซ "คาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย

มาร์จิ้นการกลั่นในไตรมาสที่สองสำหรับส่วนกลางของการกลั่นซึ่งรวมถึงน้ำมันเครื่องบิน, ดีเซล, และน้ำมันทำความร้อนชนิดเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด, ตามที่ BP กล่าว

บริษัทกล่าวเสริมว่าในไตรมาสที่สองจะมีการตัดจำหน่ายมากถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐอันเป็นผลจากแผนการลดกำลังการกลั่นที่โรงกลั่น Gelsenkirchen ในประเทศเยอรมนี

BP ประกาศในเดือนมีนาคมว่าจะลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบในโรงกลั่นลงประมาณหนึ่งในสามภายในปี 2025 เนื่องจากการคาดการณ์ความต้องการที่อ่อนแอลง โรงงานซึ่งสร้างขึ้นในปี 1935 มีความสามารถในการผลิต 265,000 บาร์เรลต่อวัน

การประกาศของ BP เกิดขึ้นหลังจากที่คู่แข่งอย่าง Shell เตือนไว้ในสัปดาห์ที่แล้วเกี่ยวกับการตัดจำหน่ายโดยไม่ใช้เงินสดถึง 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสที่สองซึ่งเกี่ยวข้องกับการขายโรงงานเคมีในสิงคโปร์และการหยุดก่อสร้างโรงงานผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพแห่งหนึ่งในยุโรปที่ใหญ่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์