โตโยต้า มอเตอร์ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของญี่ปุ่น รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาสที่สี่ และประกาศซื้อคืนหุ้น แม้จะมีการคาดการณ์ว่ากำไรจะลดลงในปีงบประมาณหน้าเนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น ในไตรมาสที่สี่ ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 31 มีนาคม กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 80% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สู่ 997.6 พันล้านเยน (6.45 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งเกินการประเมินของนักวิเคราะห์ที่อยู่ที่ 752.85 พันล้านเยน.
ยอดขายรายไตรมาสเพิ่มขึ้น 14% เป็น 11,073 พันล้านเยน จากการที่เงินเยนอ่อนค่าและยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอเมริกาเหนือและยุโรป แม้จะมีการลดลงของยอดขายในญี่ปุ่นเนื่องจากปัญหาการรับรองในบริษัทย่อยไดฮัทสึมอเตอร์ และบริษัทพันธมิตรโตโยต้าอินดัสทรีส์
เยนที่อ่อนค่าช่วยให้ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นได้เปรียบ เนื่องจากทำให้การส่งออกไปต่างประเทศมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และเพิ่มมูลค่าของกำไรที่ได้ในต่างประเทศเมื่อเปลี่ยนเป็นเยน โตโยต้ายังได้รับประโยชน์จากแนวโน้มของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกาและตลาดอื่นๆที่หันมานิยมรถไฮบริดมากกว่ารถไฟฟ้าล้วนๆ หลายคนเลือกรถไฮบริดเป็นตัวเลือกที่ประหยัดเนื่องจากมีข้อกังวลเกี่ยวกับการจ่ายไฟและราคาที่สูงกว่า
โตโยต้าคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิในปีการเงินที่เริ่มต้นในเดือนเมษายนจะลดลง 28% สู่ 3.570 ล้านล้านเยน เนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้นสำหรับวัสดุ, แรงงาน และค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา โดยยอดขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.0% สู่ 46,000 ล้านล้านเยน
ยอดขายรถยนต์ของกลุ่มคาดว่าจะลดลงเหลือ 10.95 ล้านคัน จาก 11.09 ล้านคันในปีงบประมาณที่ผ่านมา โตโยต้าและแบรนด์หรูเลกซัสคาดว่าจะขายรถไฮบริดได้ประมาณ 4.7 ล้านคันในปีงบประมาณปัจจุบัน เพิ่มขึ้นจาก 3.7 ล้านคันในปีก่อนหน้า และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ประมาณ 171,000 คัน เทียบกับประมาณ 117,000 คันในปีที่แล้ว
บริษัทประกาศว่าจะซื้อคืนหุ้นของตัวเองมูลค่าสูงสุดถึง 1 ล้านล้านเยนภายในสิ้นเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 เพื่อตอบสนองต่อแผนการถอนการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นจากผู้ถือหุ้น ซึ่งอาจรวมถึงการซื้อคืนหุ้นออกแล้วมากถึง 3.0%
