ฮอนด้า มอเตอร์ คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิในปีการเงินปัจจุบันจะลดลง ขณะที่ประกาศการซื้อคืนหุ้นพร้อมกัน ซึ่งเป็นผลตามมาจากการเพิ่มสูงขึ้นของกำไรประจำปีที่ถูกขับเคลื่อนด้วยการฟื้นตัวของธุรกิจรถยนต์.

ผู้ผลิตรถยนต์ชาวญี่ปุ่นคาดว่ากำไรสุทธิในปีงบประมาณที่เริ่มต้นในเดือนเมษายนจะลดลง 9.7% เป็น 1,000 พันล้านเยน (ประมาณ 6.43 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขณะที่รายได้คาดว่าจะลดลง 0.6% เป็น 20,300 พันล้านเยน ค่าใช้จ่ายสำหรับการวิจัยและพัฒนาที่สูงขึ้นรวมถึงเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งทำให้มูลค่าของกำไรที่ได้จากต่างประเทศเมื่อแปลงเป็นเยนลดลงนั้นเป็นภาระต่อการคาดการณ์.

ในปีงบประมาณที่ผ่านมาซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคม กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 70% ขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้น 21% ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของธุรกิจยานยนต์ ฮอนด้าบันทึกกำไรการดำเนินงานในธุรกิจยานยนต์ หลังจากที่เมื่อปีก่อนยังรายงานขาดทุน ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมากในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าจะลดลงในประเทศจีน

ซีอีโอโทชิฮิโระ มิเบะ ย้ำว่า ยานยนต์ไฮบริดที่ใช้งานร่วมกันระหว่างน้ำมันและไฟฟ้ามียอดขายที่ดี และบริษัทกำลังทำงานร่วมกับผู้จัดจำหน่ายเพื่อเพิ่มการผลิต นอกจากนี้ ฮอนด้ายังเพิ่มการใช้จ่ายสำหรับงบลงทุนและวิจัยและพัฒนา เพื่อขยายธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าของตน

ฮอนด้าประกาศในเดือนเมษายนว่าจะลงทุนประมาณ 11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและโรงงานผลิตแบตเตอรี่ EV ในแคนาดา

สำหรับปีงบประมาณปัจจุบัน ผู้ผลิตยานยนต์คาดการณ์การเพิ่มขึ้นเล็กน้อยของยอดขายรถกลุ่มโดยรวมประมาณ 0.3% สู่ 4.12 ล้านคัน โดยคาดหวังว่าจะมีการเติบโตในอเมริกาเหนือและญี่ปุ่น ซึ่งจะชดเชยการลดลงในส่วนอื่นๆ ของเอเชีย ขณะที่ยอดขายรถจักรยานยนต์ของกลุ่มคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 5.2% สู่ 19.8 ล้านคัน ขับเคลื่อนด้วยการเติบโตในเอเชียนอกเหนือจากญี่ปุ่น

โรงงานฮอนด้าวางแผนจะซื้อคืนหุ้นมูลค่าสูงสุดถึง 300.0 พันล้านเยนภายในสิ้นเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 เพื่อสนับสนุนราคาหุ้นที่ปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี บริษัทอาจซื้อคืนหุ้นที่ออกแล้วสูงสุดถึง 3.7%

ฮอนด้าคาดการณ์กำไรลดลงตามคำทำนายที่คล้ายกันของคู่แข่งในต้นสัปดาห์นี้ โตโยต้า มอเตอร์ ก็ได้คาดการณ์รายได้สุทธิลดลงสำหรับปีงบประมาณใหม่ ซึ่งเป็นผลมาจากราคาวัสดุและค่าแรงที่สูงขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนา นิสสัน มอเตอร์ ก็ได้คาดการณ์กำไรสุทธิประจำปีที่ต่ำกว่า ถึงแม้ว่าจะมีการเติบโตของยอดขาย ด้วยเหตุผลที่มาจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและเงินเฟ้อที่สูง