ทิม วอลส์: เส้นทางชีวิตจากชนบทในเนบราสก้าสู่เวทีระดับชาติ

ทิม วอลซ์, ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีเคียงข้างกับคามาลา แฮร์ริส, ผ่านเส้นทางที่น่าทึ่งจากพื้นที่ชนบทของเนบราสก้าจนถึงเวทีการเมือง วอลซ์เกิดที่เวสต์พอยต์, เนบราสก้า, เมืองเล็กๆ ที่มีประชากรราว 3,500 คน ตั้งอยู่ห่างจากโอมาฮาประมาณ 100 กิโลเมตรทางตะวันตกเฉียงเหนือ เขาได้รับอิทธิพลจากแม่ซึ่งเป็นนักกิจกรรมชุมชนที่มีความทุ่มเท และพ่อของเขา, ผู้บริหารโรงเรียนรัฐ, ที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเพียงสองปีหลังจากที่วอลซ์เข้าร่วมกองกำลังทหารแห่งชาติในวัย 17 ปี ในช่วงวัยรุ่นวอลซ์ย้ายที่อยู่หลายครั้ง, โดยใช้เวลาบางส่วนในวัยเด็กในเมืองวาลเทนไทน์, เนบราสก้า – เมืองที่เป็นที่รู้จักจากหัวใจที่ถูกวาดบนทางเท้า สุดท้ายเขาย้ายไปที่เมืองบิวท์, เนบราสก้า, ที่มีประชากรน้อยกว่า 300 คน ชั้นเรียนที่วอลซ์จบการศึกษามีเพียง 25 คน โดยครึ่งหนึ่งเป็นเครือญาติของเขา เขาชอบล้อเล่นว่ายากที่จะหาคู่เดทเพราะพวกเขาน่าจะเป็นเครือญาติกันทั้งหมด หลังจากสำเร็จการศึกษาที่วิทยาลัยชาดรอนสเตทในปี 1989 ด้วยปริญญาด้านวิทยาศาสตร์สังคม วอลซ์สอนหนังสือหนึ่งปีในจีน เมื่อกลับมาเนบราสก้า เขาพบกับเกวน, ผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นภรรยาและสอนหนังสือที่โรงเรียนเดียวกัน ในปี 1993 วอลซ์ได้รับการแต่งตั้งจากหอการค้าเยาวชนเนบราสก้าเป็น “Outstanding Young Nebraskan” จากผลงานในด้านการศึกษา, ทหาร, และธุรกิจขนาดเล็ก หนึ่งปีต่อมาเขาและเกวนแต่งงานและย้ายกลับไปมินนิโซต้า, บ้านเกิดของภรรยา วอลซ์ไม่เคยสูญเสียความผูกพันกับเนบราสก้า เมื่อปีที่แล้วเขาโพสต์รูปถ่ายของโรงนาเก่าและรถแทรกเตอร์บนโซเชียลมีเดียและแสดงความคิดเห็นว่า เขาได้เยี่ยมชมฟาร์มครอบครัวในบิวท์, พบกับเพื่อนเก่าสมัยเรียน และเข้าร่วมงาน pancake days – “ทั้งหมดในสุดสัปดาห์คุณภาพเยี่ยม” รากฐานและประสบการณ์ในพื้นที่ชนบทของวอลซ์อาจมีผลต่อการเลือกตั้ง แม้ว่าเนบราสก้าจะเป็นรัฐที่มีนโยบายรีพับลิกันส่วนใหญ่ แต่รัฐนี้แบ่งคะแนนเสียงของผู้เลือกตั้ง ทำให้เป็นไปได้ที่การสมัครของเขาอาจได้เปรียบ เจน คลีบ, ประธานพรรคเดโมแครตในเนบราสก้า, ชื่นชมวอลซ์สำหรับประสบการณ์ที่ลึกซึ้งในชุมชนชนบท, ชุมชนทหารผ่านศึก, และแน่นอนในด้านการศึกษา “วอลซ์มีความสามารถที่จะทำให้พวกเราทุกคนกลับมาตกหลุมรักการเมืองอีกครั้ง เพราะเขาเชื่อในความจริงที่ว่าการอยู่ในแวดวงการเมืองคือเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คน” คลีบกล่าว “อเมริกาชนบทจะได้รับการแทนตัวบนเวทีระดับชาติด้วยใจรัก, ความสุข, และความเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริงต่อเพื่อนบ้านของเรา”