ทำการลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณ
เริ่มต้นที่ 2 ยูโร ฟิลิปปินส์ ดุลการค้า
ราคา
มูลค่าปัจจุบันของดุลการค้าใน ฟิลิปปินส์ คือ 63.327 ล้าน USD ดุลการค้าใน ฟิลิปปินส์ ลดลงไปที่ 63.327 ล้าน USD ในวันที่ 1/9/2557 หลังจากที่เป็น 632.838 ล้าน USD ในวันที่ 1/6/2557 ตั้งแต่ 1/1/2500 ถึง 1/4/2567 ค่าเฉลี่ย GDP ใน ฟิลิปปินส์ คือ -628.37 ล้าน USD จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เกิดขึ้นในวันที่ 1/9/2542 ด้วยค่า 1.14 ล้านล้าน USD ในขณะที่ค่าต่ำสุดถูกบันทึกในวันที่ 1/8/2565 ด้วยค่า -5.99 ล้านล้าน USD
ดุลการค้า ·
แม็กซ์
ยอดการค้า | |
---|---|
1/9/2501 | 4 ล้าน USD |
1/7/2502 | 2.5 ล้าน USD |
1/8/2502 | 1 ล้าน USD |
1/9/2502 | 1 ล้าน USD |
1/2/2503 | 2 ล้าน USD |
1/4/2503 | 11.88 ล้าน USD |
1/5/2503 | 14.36 ล้าน USD |
1/10/2505 | 8.98 ล้าน USD |
1/2/2506 | 11 ล้าน USD |
1/3/2506 | 6.65 ล้าน USD |
1/5/2506 | 6.39 ล้าน USD |
1/7/2506 | 3.58 ล้าน USD |
1/9/2507 | 4.86 ล้าน USD |
1/6/2509 | 1.8 ล้าน USD |
1/7/2509 | 8.21 ล้าน USD |
1/10/2513 | 10.57 ล้าน USD |
1/5/2514 | 4.2 ล้าน USD |
1/2/2516 | 19.48 ล้าน USD |
1/3/2516 | 39.87 ล้าน USD |
1/4/2516 | 42.42 ล้าน USD |
1/5/2516 | 23.66 ล้าน USD |
1/6/2516 | 53.26 ล้าน USD |
1/7/2516 | 27.08 ล้าน USD |
1/10/2516 | 296,000 USD |
1/12/2517 | 21.66 ล้าน USD |
1/12/2527 | 7.05 ล้าน USD |
1/12/2531 | 33.15 ล้าน USD |
1/8/2541 | 144 ล้าน USD |
1/9/2541 | 331.5 ล้าน USD |
1/10/2541 | 125 ล้าน USD |
1/11/2541 | 213 ล้าน USD |
1/12/2541 | 461 ล้าน USD |
1/1/2542 | 183 ล้าน USD |
1/2/2542 | 314 ล้าน USD |
1/3/2542 | 245.7 ล้าน USD |
1/5/2542 | 213.4 ล้าน USD |
1/6/2542 | 186.1 ล้าน USD |
1/7/2542 | 59.4 ล้าน USD |
1/8/2542 | 550.04 ล้าน USD |
1/9/2542 | 1.14 ล้านล้าน USD |
1/10/2542 | 846.67 ล้าน USD |
1/11/2542 | 723 ล้าน USD |
1/12/2542 | 290.51 ล้าน USD |
1/2/2543 | 127.3 ล้าน USD |
1/3/2543 | 80.5 ล้าน USD |
1/5/2543 | 288.7 ล้าน USD |
1/6/2543 | 680.36 ล้าน USD |
1/7/2543 | 363.4 ล้าน USD |
1/8/2543 | 687.5 ล้าน USD |
1/9/2543 | 208 ล้าน USD |
1/10/2543 | 122.1 ล้าน USD |
1/11/2543 | 397 ล้าน USD |
1/12/2543 | 878.37 ล้าน USD |
1/2/2544 | 323.47 ล้าน USD |
1/10/2544 | 399.77 ล้าน USD |
1/11/2544 | 412.79 ล้าน USD |
1/12/2544 | 317.47 ล้าน USD |
1/1/2545 | 405.45 ล้าน USD |
1/2/2545 | 83.87 ล้าน USD |
1/12/2545 | 17.75 ล้าน USD |
1/9/2546 | 89 ล้าน USD |
1/11/2547 | 27 ล้าน USD |
1/12/2547 | 12 ล้าน USD |
1/2/2549 | 33.05 ล้าน USD |
1/1/2550 | 87.69 ล้าน USD |
1/2/2550 | 31.21 ล้าน USD |
1/11/2551 | 28.29 ล้าน USD |
1/11/2552 | 63.32 ล้าน USD |
1/6/2553 | 331.78 ล้าน USD |
1/8/2553 | 313.28 ล้าน USD |
1/9/2553 | 743.63 ล้าน USD |
1/10/2556 | 182.64 ล้าน USD |
1/5/2557 | 862.71 ล้าน USD |
1/6/2557 | 632.84 ล้าน USD |
1/9/2557 | 63.33 ล้าน USD |
ดุลการค้า ประวัติศาสตร์
วันที่ | มูลค่า |
---|---|
1/9/2557 | 63.327 ล้าน USD |
1/6/2557 | 632.838 ล้าน USD |
1/5/2557 | 862.714 ล้าน USD |
1/10/2556 | 182.64 ล้าน USD |
1/9/2553 | 743.629 ล้าน USD |
1/8/2553 | 313.284 ล้าน USD |
1/6/2553 | 331.78 ล้าน USD |
1/11/2552 | 63.315 ล้าน USD |
1/11/2551 | 28.294 ล้าน USD |
1/2/2550 | 31.208 ล้าน USD |
ค่าเฉพาะทางมหภาคที่คล้ายกันกับ ดุลการค้า
ชื่อ | ปัจจุบัน | ก่อนหน้า | ความถี่ |
---|---|---|---|
🇵🇭 กระแสเงินทุน | 5.646 ล้าน USD | 5.324 ล้าน USD | รายเดือน |
🇵🇭 การลงทุนตรงจากต่างประเทศ | 686 ล้าน USD | 1.366 ล้านล้าน USD | รายเดือน |
🇵🇭 การส่งออกเทียบปีต่อปี | -7.6 % | 0.3 % | รายเดือน |
🇵🇭 การโอนเงิน | 2.885 ล้านล้าน USD | 3.085 ล้านล้าน USD | รายเดือน |
🇵🇭 ดัชนีการก่อการร้าย | 5.383 Points | 6.328 Points | ประจำปี |
🇵🇭 ทองคำสำรอง | 164.77 Tonnes | 164.77 Tonnes | ควอร์เตอร์ |
🇵🇭 นำเข้า | 10.977 ล้านล้าน USD | 9.573 ล้านล้าน USD | รายเดือน |
🇵🇭 นำเข้า YoY | 9.9 % | 2.7 % | รายเดือน |
🇵🇭 ยอดเงินคงเหลือในบัญชีเดินสะพัด | -368.376 ล้าน USD | -5.598 ล้าน USD | รายเดือน |
🇵🇭 ยอดนักท่องเที่ยวขาเข้า | 447,435 | 459,453 | รายเดือน |
🇵🇭 ยอดบัญชีเดินสะพัดเทียบกับ GDP | -1.3 % of GDP | -4.4 % of GDP | ประจำปี |
🇵🇭 ส่งออก | 6.258 ล้านล้าน USD | 6.752 ล้านล้าน USD | รายเดือน |
🇵🇭 หนี้สินต่างประเทศ | 125.394 ล้านล้าน USD | 111.268 ล้านล้าน USD | ประจำปี |
ฟิลิปปินส์มีการขาดดุลการค้าเป็นประจำทุกปี เนื่องจากการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางในปริมาณสูง ในปี 2013 ฟิลิปปินส์มีการขาดดุลการค้าที่มากที่สุดกับไต้หวัน ซาอุดีอาระเบีย ไทย และเกาหลีใต้ ในขณะที่มีดุลการค้าเกินดุลสูงสุดกับญี่ปุ่น ฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา
หน้ามาโครสำหรับประเทศอื่นๆใน เอเชีย
- 🇨🇳ประเทศจีน
- 🇮🇳อินเดีย
- 🇮🇩อินโดนีเซีย
- 🇯🇵ญี่ปุ่น
- 🇸🇦ซาอุดิอาระเบีย
- 🇸🇬สิงคโปร์
- 🇰🇷เกาหลีใต้
- 🇹🇷ตุรกี
- 🇦🇫อัฟกานิสถาน
- 🇦🇲อาร์เมเนีย
- 🇦🇿อาเซอร์ไบจาน
- 🇧🇭บาห์เรน
- 🇧🇩บังกลาเทศ
- 🇧🇹ภูฏาน
- 🇧🇳บรูไน
- 🇰🇭กัมพูชา
- 🇹🇱ติมอร์-เลสเต
- 🇬🇪จอร์เจีย
- 🇭🇰ฮ่องกง
- 🇮🇷อิหร่าน
- 🇮🇶อิรัก
- 🇮🇱อิสราเอล
- 🇯🇴จอร์แดน
- 🇰🇿คาซัคสถาน
- 🇰🇼คูเวต
- 🇰🇬คีร์กีซสถาน
- 🇱🇦ลาว
- 🇱🇧เลบานอน
- 🇲🇴มาเก๊า
- 🇲🇾มาเลเซีย
- 🇲🇻มัลดีฟส์
- 🇲🇳มองโกเลีย
- 🇲🇲พม่า
- 🇳🇵เนปาล
- 🇰🇵เกาหลีเหนือ
- 🇴🇲โอมาน
- 🇵🇰ปากีสถาน
- 🇵🇸ปาเลสไตน์
- 🇶🇦กาตาร์
- 🇱🇰ศรีลังกา
- 🇸🇾ซีเรีย
- 🇹🇼ไต้หวัน
- 🇹🇯ทาจิกิสถาน
- 🇹🇭ไทย
- 🇹🇲ตุรกี
- 🇦🇪สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
- 🇺🇿อุซเบกิสถาน
- 🇻🇳เวียดนาม
- 🇾🇪เยเมน
คืออะไร ดุลการค้า
ความสมดุลทางการค้าหรือ Balance of Trade (BoT) เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างยิ่งที่ใช้ในการประเมินสุขภาพทางเศรษฐกิจของประเทศและชี้วัดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก กระแสเงินเข้าและออกผ่านการซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างประเทศนั้นมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดความสมดุลทางการค้าของประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ สำหรับเว็บไซต์ Eulerpool ซึ่งเน้นไปที่การแสดงข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคในเชิงลึก บทความนี้จะนำเสนอความเข้าใจเกี่ยวกับความสมดุลทางการค้าในประเทศไทยและการวิเคราะห์องค์ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อการคนี้ในรายละเอียด ความสมดุลทางการค้า หรือ Balance of Trade นั้นเป็นการคำนวณผลต่างของมูลค่าสินค้าและบริการที่ประเทศหนึ่งส่งออก (exports) กับมูลค่าของสินค้าและบริการที่ประเทศนั้นนำเข้า (imports) การมีความสมดุลทางการค้าเป็นบวก (trade surplus) หมายถึงประเทศนั้นส่งออกมากกว่านำเข้า ในขณะที่การมีความสมดุลทางการค้าเป็นลบ (trade deficit) หมายถึงประเทศนั้นนำเข้ามากกว่าส่งออก ซึ่งสามารถมีผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งในด้านดีและด้านเสียขึ้นอยู่กับสถานการณ์และปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ สำหรับประเทศไทย ผลกระทบจากความสมดุลทางการค้านั้นมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกับหลายปัจจัย ตัวอย่างเช่น สินค้าและบริการที่มีความต้องการสูงในตลาดโลกสามารถก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นแก่ประเทศผ่านการส่งออก ส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของเงินทูลหรือ foreign reserves การมีตะกร้าสินค้าที่หลากหลาย การมีระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ และความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการที่คุณภาพสูงสามารถช่วยให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกเช่น การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าและศุลกากรของประเทศที่เป็นคู่ค้าหลัก, การเปลี่ยนแปลงในอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา, และการเปลี่ยนแปลงในภาวะเศรษฐกิจโลกก็มีผลกระทบสำคัญต่อความสมดุลทางการค้า ตัวอย่างเช่น การเพิ่มขึ้นของภาษีศุลกากรจากประเทศคู่ค้าอาจทำให้สินค้าส่งออกของไทยมีราคาสูงขึ้นและลดความสามารถในการแข่งขันได้ หรือการเปลี่ยนแปลงในอัตราแลกเปลี่ยนอาจกระทบต่อราคาของสินค้าและบริการที่มีการซื้อขายระหว่างประเทศได้ ส่งผลต่อความต้องการสินค้านำเข้าส่งออก ในเชิงนโยบาย ความสมดุลทางการค้าเป็นปัจจัยที่รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญในการพัฒนายุทธศาสตร์และนโยบายการค้า การส่งเสริมการส่งออกเป็นหนึ่งในมาตรการที่สามารถใช้ในการปรับปรุงความสมดุลทางการค้า ได้ผ่านทางการให้เงินสนับสนุน และสิทธิประโยชน์ทางภาษี นอกจากนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเช่นเส้นทางคมนาคมและท่าเรือเพื่อให้กระบวนการส่งออกสินค้าเป็นไปได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น ในด้านการนำเข้า แนวทางการปรับปรุงความสมดุลทางการค้าอาจรวมถึงการพิจารณากำหนดอัตราภาษีสำหรับสินค้านำเข้าที่มีลักษณะสามารถผลิตได้ในประเทศ, การส่งเสริมการใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศเพื่อทดแทนการนำเข้า หรือการควบคุมการนำเข้าสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อเศรษฐกิจในระยะยาว ไม่เพียงเท่านี้ ความสมดุลทางการค้ายังสามารถเป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของเสถียรภาพทางการเงินของประเทศในขณะบางครั้ง ความสมดุลทางการค้าที่เป็นบวกสามารถช่วยหนุนให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของประเทศนั้นมีความมั่นคงมากขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบว่าประเทศนั้นมีแนวโน้มที่จะต้องพึ่งพาการนำเข้ามากน้อยเพียงใด และนำไปสู่การกำหนดนโยบายที่จะส่งเสริมการสร้างความเข้มแข็งในภาคการส่งออกให้มีผลกระทบเชิงบวกอย่างยั่งยืนต่อเศรษฐกิจ ในการประเมินและจัดการกับความสมดุลทางการค้าเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การมีข้อมูลเศรษฐกิจที่ครบถ้วนและถูกต้องสามารถช่วยในการตัดสินใจเรื่องนโยบายต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทางเว็บไซต์ Eulerpool ของเรามีการนำเสนอข้อมูลเศรษฐกิจในรูปแบบที่ง่ายต่อการวิเคราะห์และทำความเข้าใจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ใช้งานที่ต้องการศึกษาหรือวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคอย่างละเอียด สรุป คือ ความสมดุลทางการค้าเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินสุขภาพเศรษฐกิจของประเทศ การมีข้อมูลที่ครบถ้วนและเป็นปัจจุบันสามารถช่วยให้สามารถวางแผนและกำหนดนโยบายการค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพและความสามารถในการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก การทำความเข้าใจถึงความท้าทายและโอกาสในการจัดการกับความสมดุลทางการค้าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว