ทำการลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณ

เริ่มต้นที่ 2 ยูโร
Analyse
โปรไฟล์
🇮🇳

อินเดีย อัตราเงินเฟ้อ

ราคา

4.83 %
การเปลี่ยนแปลง +/-
-0.02 %
เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลง
-0.41 %

ค่า อัตราเงินเฟ้อ ปัจจุบันใน อินเดีย คือ 4.83 % อัตราเงินเฟ้อ ใน อินเดีย ลดลงถึง 4.83 % เมื่อ 1/4/2567 หลังจากที่เคยเป็น 4.85 % เมื่อ 1/3/2567 จาก 1/1/2555 ถึง 1/5/2567 GDP เฉลี่ยใน อินเดีย อยู่ที่ 5.97 % สถิติสูงสุดตลอดกาลอยู่เมื่อ 1/11/2556 ที่ 12.17 % ในขณะที่ค่าต่ำสุดจดบันทึกไว้เมื่อ 1/6/2560 ที่ 1.54 %

แหล่งที่มา: Ministry of Statistics and Programme Implementation (MOSPI)

อัตราเงินเฟ้อ

  • แม็กซ์

อัตราเงินเฟ้อ

อัตราเงินเฟ้อ ประวัติศาสตร์

วันที่มูลค่า
1/4/25674.83 %
1/3/25674.85 %
1/2/25675.09 %
1/1/25675.1 %
1/12/25665.69 %
1/11/25665.55 %
1/10/25664.87 %
1/9/25665.02 %
1/8/25666.83 %
1/7/25667.44 %
1
2
3
4
5
...
15

ค่าเฉพาะทางมหภาคที่คล้ายกันกับ อัตราเงินเฟ้อ

ชื่อปัจจุบันก่อนหน้าความถี่
🇮🇳
CPI Transport
170.6 points170.4 pointsรายเดือน
🇮🇳
WPI การผลิต เทียบรายปี
0.78 %-0.42 %รายเดือน
🇮🇳
WPI ต้นทุนเชื้อเพลิง YoY
1.35 %1.38 %รายเดือน
🇮🇳
การเปลี่ยนแปลงราคาผู้ผลิต
1.31 %2.04 %รายเดือน
🇮🇳
ความคาดหวังเงินเฟ้อ
10 %10.1 %รายเดือน
🇮🇳
เงินเฟ้อด้านอาหาร
9.24 %5.66 %รายเดือน
🇮🇳
ดัชนีราคาของอาหาร WPI รายปี
3.26 %3.55 %รายเดือน
🇮🇳
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
193 points193 pointsรายเดือน
🇮🇳
ดัชนีราคาผู้บริโภคที่อยู่อาศัยและค่าใช้จ่ายรอง
181.1 points180 pointsรายเดือน
🇮🇳
ต้นทุนการผลิต
155.2 points153.9 pointsรายเดือน
🇮🇳
ตัวคูณ GDP
172.6 points170.2 pointsประจำปี
🇮🇳
ราคานำเข้า
157.3 points133.7 pointsประจำปี
🇮🇳
ราคาส่งออก
159.6 points143.8 pointsประจำปี
🇮🇳
อัตราเงินเฟ้อ MoM
1.4 %1.33 %รายเดือน
🇮🇳
อัตราเงินเฟ้อผู้ผลิตรายเดือน
-0.451 %0.779 %รายเดือน

ในประเทศอินเดีย หมวดที่สำคัญที่สุดในดัชนีราคาผู้บริโภคคือ อาหารและเครื่องดื่ม (45.86 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักรวม) ซึ่งประกอบด้วย ธัญพืชและผลิตภัณฑ์ (9.67 เปอร์เซ็นต์), นมและผลิตภัณฑ์ (6.61 เปอร์เซ็นต์), ผัก (6.04 เปอร์เซ็นต์), อาหารสำเร็จรูป, ขนมขบเคี้ยว, ของหวาน ฯลฯ (5.55 เปอร์เซ็นต์), เนื้อสัตว์และปลา (3.61 เปอร์เซ็นต์), และน้ำมันและไขมัน (3.56 เปอร์เซ็นต์). หมวดเบ็ดเตล็ดมีน้ำหนัก 28.32 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งรวมถึง การขนส่งและการสื่อสาร (8.59 เปอร์เซ็นต์), สุขภาพ (5.89 เปอร์เซ็นต์), และการศึกษา (4.46 เปอร์เซ็นต์). การเคหะคิดเป็น 10.07 เปอร์เซ็นต์; เชื้อเพลิงและแสงสว่างคิดเป็น 6.84 เปอร์เซ็นต์; เครื่องนุ่งห่มและรองเท้าคิดเป็น 6.53 เปอร์เซ็นต์; และหมาก, ยาสูบ และของมึนเมาคิดเป็น 2.38 เปอร์เซ็นต์. การเปลี่ยนแปลงราคาผู้บริโภคในอินเดียสามารถผันผวนได้มากเนื่องจากการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิง, ผลกระทบที่ไม่แน่นอนของฝนมรสุมต่อภาคการเกษตรขนาดใหญ่, ความยากลำบากในการขนส่งอาหารสู่ตลาดเนื่องจากถนนและโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ดี และภาระการคลังสูง. ในปี 2013 ดัชนีราคาผู้บริโภคได้มาแทนที่ดัชนีราคาขายส่ง (WPI) ในการเป็นมาตรวัดหลักของอัตราเงินเฟ้อ.

หน้ามาโครสำหรับประเทศอื่นๆใน เอเชีย

คืออะไร อัตราเงินเฟ้อ

อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate) เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดในเศรษฐศาสตร์มหภาค ที่ใช้ในการวัดการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาสินค้าและบริการในภาพรวมของเศรษฐกิจ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินสุขภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นบ่งบอกว่าค่าเงินของประเทศนั้นๆมีค่าลดลงทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อลดลงบ่งบอกถึงการเพิ่มขึ้นของค่าความมั่นคงของเงิน ซึ่งมีผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนในทิศทางที่ดีขึ้น ในบริบทของเศรษฐศาสตร์มหภาค อัตราเงินเฟ้อได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐบาล ภาคธุรกิจ นักเศรษฐศาสตร์ และประชาชนทั่วไป อัตราเงินเฟ้อสามารถส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ เช่น การตั้งอัตราดอกเบี้ย การวางแผนการลงทุน การกำหนดค่าแรง และการวางแผนการบริโภค ภาครัฐบาลมีบทบาทสำคัญในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ โดยใช้มาตรการทางการเงินและการคลัง เช่น การตั้งอัตราดอกเบี้ย การปรับเปลี่ยนภาษี และการใช้โครงการส่งเสริมการลงทุน เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงหรือต่ำเกินไป การควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นความท้าทายของนโยบายการเงินที่ต้องใช้ความชำนาญและประสบการณ์ในการกำหนดนโยบาย ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินไปอาจทำให้เกิดผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจ ภาวะเงินเฟ้อที่สูงจะทำให้ผู้บริโภคมีความกังวลเรื่องการเพิ่มของราคาสินค้าและบริการ ทางเศรษฐกิจพบว่าอัตราเงินเฟ้อที่สูงสามารถทำให้ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตเพิ่มขึ้น ซ้ำยังส่งผลกระทบต่อการออม การลงทุน และการบริโภคในระยะยาว สิ่งนี้สามารถนำไปสู่เศรษฐกิจถดถอยหากไม่สามารถควบคุมได้อย่างเหมาะสม ในทางตรงกันข้าม อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเกินไป หรือแม้แต่อัตราเงินฝืด (deflation) ก็สามารถส่งผลกระทบทางลบที่คล้ายคลึงกัน เพราะอาจทำให้การบริโภคและการลงทุนลดลงเนื่องจากการคาดหมายของประชาชนว่า ราคาสินค้าและบริการจะลดลงในอนาคต ทำให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ภาครัฐต้องให้ความสำคัญ การวัดอัตราเงินเฟ้อมักใช้มาตรวัดที่เรียกว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index, CPI) และดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price Index, PPI) ซึ่งทั้งสองดัชนีนี้ใช้ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาสินค้าและบริการในเศรษฐกิจ CPI มักใช้ในการวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคซื้อ ส่วน PPI ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตขาย ส่วนประกอบสำคัญของอัตราเงินเฟ้อคือ มาตรการด้านอุปสงค์และอุปทาน อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ถ้าอุปทานไม่สอดคล้องกับอุปสงค์ ส่วนประกอบอีกอย่างคือ การเปลี่ยนแปลงของต้นทุนการผลิต เช่น ราคาน้ำมัน วัตถุดิบ และค่าแรง ที่เพิ่มขึ้นหรือมีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน จะส่งผลต่อราคาอย่างแน่นอน สำหรับเว็บไซต์ Eulerpool เราให้บริการข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ครบถ้วนและแม่นยำ การติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลอัตราเงินเฟ้อเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจทางเศรษฐกิจอย่างมีข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอ ทีมงานของเรายังมีการปรับปรุงข้อมูลอย่างต่อเนื่องและทำให้มั่นใจได้ว่าผู้ใช้งานจะได้รับข้อมูลที่ทันสมัยและเป็นปัจจุบัน ในภาพรวม การทำความเข้าใจและการติดตามอัตราเงินเฟ้อมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ ทั้งในระดับบุคคลและระดับมหภาค การติดตามและการวิเคราะห์ข้อมูลอัตราเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่องจะทำให้เราสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้สภาพเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การมีข้อมูลและการวิเคราะห์ที่เชื่อถือได้จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการเตรียมความพร้อมรับมือกับความท้าทายและโอกาสที่เกิดขึ้นในอนาคต ไม่เพียงแค่ในส่วนของการบริโภคและการลงทุน แต่ยังรวมถึงการตั้งนโยบายทางเศรษฐกิจในระดับชาติ ดังนั้น Eulerpool จึงเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือสำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลอัตราเงินเฟ้อและข้อมูลเศรษฐกิจมหภาครวมถึงการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งและละเอียดที่สุด เพื่อให้คุณสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นใจ