ทำการลงทุนที่ดีที่สุดในชีวิตของคุณ

เริ่มต้นที่ 2 ยูโร
Analyse
โปรไฟล์
🇯🇵

ญี่ปุ่น ตัวคูณจีดีพี (GDP)

ราคา

106.4 คะแนน
การเปลี่ยนแปลง +/-
-2.6 คะแนน
เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลง
-2.41 %

ค่าปัจจุบันของตัวคูณจีดีพี (GDP) ใน ญี่ปุ่น คือ 106.4 คะแนน ตัวคูณจีดีพี (GDP) ใน ญี่ปุ่น ลดลงเหลือ 106.4 คะแนน ณ วันที่ 1/3/2567 หลังจากเคยเป็น 109 คะแนน ณ วันที่ 1/12/2566 จาก 1/3/2523 ถึง 1/3/2567 ค่าเฉลี่ยของตัวคูณจีดีพี (GDP) ใน ญี่ปุ่น คือ 103.34 คะแนน โดยค่าที่สูงสุดตลอดกาลได้ถูกบันทึกไว้ ณ วันที่ 1/12/2537 ด้วยค่า 116.4 คะแนน ขณะที่ค่าต่ำสุดได้ถูกบันทึกไว้ ณ วันที่ 1/3/2523 ด้วยค่า 87.8 คะแนน

แหล่งที่มา: Cabinet Office, Japan

ตัวคูณจีดีพี (GDP)

  • แม็กซ์

ตัวคูณ GDP

ตัวคูณจีดีพี (GDP) ประวัติศาสตร์

วันที่มูลค่า
1/3/2567106.4 คะแนน
1/12/2566109 คะแนน
1/9/2566105.1 คะแนน
1/6/2566106.6 คะแนน
1/3/2566102.9 คะแนน
1/12/2565104.9 คะแนน
1/9/256599.9 คะแนน
1/6/2565102.8 คะแนน
1/3/2565100.6 คะแนน
1/12/2564103.4 คะแนน
1
2
3
4
5
...
18

ค่าเฉพาะทางมหภาคที่คล้ายกันกับ ตัวคูณจีดีพี (GDP)

ชื่อปัจจุบันก่อนหน้าความถี่
🇯🇵
CPI Transport
97.4 points97.6 pointsรายเดือน
🇯🇵
การเปลี่ยนแปลงราคาผู้ผลิต
2.4 %1.1 %รายเดือน
🇯🇵
ความคาดหวังเงินเฟ้อ
2.4 %2.4 %ควอร์เตอร์
🇯🇵
เงินเฟ้อค่าเช่า
0.3 %0.3 %รายเดือน
🇯🇵
เงินเฟ้อด้านอาหาร
3.6 %4.1 %รายเดือน
🇯🇵
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
108.1 points107.7 pointsรายเดือน
🇯🇵
ดัชนีราคาผู้บริโภคโตเกียว
2.3 %2.2 %รายเดือน
🇯🇵
ดัชนีราคาผู้บริโภคโตเกียวไม่รวมอาหารและพลังงาน
1.5 %1.8 %รายเดือน
🇯🇵
ดัชนีราคาผู้บริโภคที่อยู่อาศัยและค่าใช้จ่ายรอง
103.2 points103.1 pointsรายเดือน
🇯🇵
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน
107.5 points107.1 pointsรายเดือน
🇯🇵
ดัชนีราคาผู้บริโภคหลักของโตเกียว
1.8 %2 %รายเดือน
🇯🇵
ต้นทุนการผลิต
121.2 points120.8 pointsรายเดือน
🇯🇵
ภาวะเงินเฟ้อในการบริการ
1.3 %1.4 %รายเดือน
🇯🇵
ราคานำเข้า
166.9 points163.8 pointsรายเดือน
🇯🇵
ราคาส่งออก
134.6 points136.9 pointsรายเดือน
🇯🇵
อัตราเงินเฟ้อ
2.5 %3 %รายเดือน
🇯🇵
อัตราเงินเฟ้อ MoM
0.5 %0.2 %รายเดือน
🇯🇵
อัตราเงินเฟ้อของสินค้า
3.8 %3.9 %รายเดือน
🇯🇵
อัตราเงินเฟ้อผู้ผลิตรายเดือน
0.7 %0.5 %รายเดือน
🇯🇵
อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
2.5 %2.2 %รายเดือน
🇯🇵
อัตราเงินเฟ้อหลัก
2.1 %2.4 %รายเดือน

ตัวทวีคูณ GDP วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย และถือเป็นตัวบ่งชี้หลักสำหรับแรงกดดันเงินเฟ้อ ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับทิศทางในอนาคตของนโยบายการเงิน

หน้ามาโครสำหรับประเทศอื่นๆใน เอเชีย

คืออะไร ตัวคูณจีดีพี (GDP)

GDP Deflator (ดัชนีราคาผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) เป็นหนึ่งในดัชนีที่สำคัญที่สุดที่ถูกใช้ในวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค เป็นตัวชี้วัดเชิงตัวเลขที่ช่วยให้เราสามารถประเมินแนวโน้มของราคาและราคาเงินเฟ้อได้ โดยการแยกปัจจัยที่เป็นปริมาณการผลิตออกจากปัจจัยที่เป็นการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการ และวัดการเปลี่ยนแปลงราคาของทุกสินค้าภายในประเทศเรื่องนี้มีความหมายอย่างมากในการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจมหภาค เนื่องจากสามารถช่วยให้ทางรัฐบาล หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงนักลงทุนใช้ในการวิเคราะห์และคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในภาคการศึกษาเศรษฐศาสตร์ การเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศส่วนใหญ่จะถูกมองว่าเป็นสัญญาณหนึ่งของเงินเฟ้อ เนื่องจากหากราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็จะมีผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อสินค้าของผู้บริโภค และสร้างแรงกดดันให้กับธุรกิจในการกำหนดราคาสินค้าและบริการให้สูงขึ้น GDP Deflator นั้นไม่เหมือนกับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรือดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เนื่องจากมันไม่จำกัดแค่รายการของสินค้าหรือบริการที่ถูกกำหนดในตะกร้าสินค้า แต่จะคำนวณจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าทุกประเภทที่ถูกผลิตภายในประเทศดังนั้น มันจึงให้ภาพที่ครอบคลุมมากกว่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของราคาในเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังช่วยให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านราคาในภาคการผลิต การบริโภค การลงทุน และการค้าระหว่างประเทศในภาพรวม การคำนวน GDP Deflator ทำนั้นเรียบง่ายในทางทฤษฎี โดยเศรษฐกิจที่เป็นตัวแทนของการคำนวณนี้แสดงผ่านสมการ GDP Deflator = (nGDP / rGDP) * 100 ซึ่ง nGDP (Nominal GDP) คือมูลค่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเรียลมูลค่าปัจจุบันที่ยังไม่ได้ ปรับปรุงตามดัชนีเงินเฟ้อ ส่วน rGDP (Real GDP) คือมูลค่าของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่ถูกปรับปรุงตามดัชนีเงินเฟ้อสมการนี้ทำให้เราสามารถแยกความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงปริมาณการผลิตและการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาสินค้าได้อย่างง่ายดาย ความสำคัญของ GDP Deflator นั้นไม่สามารถประมาทได้ แน่นอนเราสามารถนำดัชนีนี้มาใช้เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาวและระยะสั้น ตลอดจนการคาดการณ์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อในอนาคต โดยทั่วไปดัชนีนี้ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการเปรียบเทียบระดับราคาของแต่ละช่วงเวลาสร้างความชัดเจนในการวิเคราะห์ว่าสภาวะเศรษฐกิจในแต่ละช่วงเวลามีแนวโน้มและสถานการณ์ที่เป็นอย่างไร นักเศรษฐศาสตร์ นักการเงิน รวมไปถึงนักลงทุน จะใช้ GDP Deflator เพื่อวิเคราะห์ถึงความเปลี่ยนแปลงของราคาในตลาดได้ดียิ่งขึ้นตัวอย่างเช่น นักลงทุนที่ต้องการวิเคราะห์การลงทุนในระยะยาวอาจจะมองหาสัญญาณที่แสดงถึงการเพิ่มขึ้นของดัชนีนี้เนื่องจากมันสามารถบอกได้ว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะแข็งแรงขึ้นหรือมีความเสถียรและชัดเจนขึ้น แต่ในทางกลับกันหาก GDP Deflator ลดลง ก็อาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ถึงการลดลงของระดับราคาสินค้าและบริการ ซึ่งอาจทำให้มีผลกระทบทางลบในบางภาคส่วนของเศรษฐกิจ นอกจากนี้การวิเคราะห์ GDP Deflator ยังช่วยให้สามารถประเมินความสามารถในการบริโภคของประชาชนได้อย่างชัดเจนมากขึ้น การเพิ่มขึ้นของดัชนีนี้สามารถสื่อถึงว่าประชาชนอาจจะมีความสามารถในการบริโภคน้อยลงเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคา ซึ่งอาจนำไปสู่การลดลงของความต้องการสินค้าบางประเภท สิ่งนี้ยังมีผลกระทบต่อการวางแผนการผลิตและการบริหารจัดการของธุรกิจที่ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวโน้มนี้ตามไปด้วย ในทำนองเดียวกัน GDP Deflator ยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการวิเคราะห์และวางแผนในระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายการเงิน เช่นการปรับอัตราดอกเบี้ย หรือการกำหนดนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การใช้งบประมาณของรัฐบาลในการลงทุนในภาคส่วนต่างๆ จะต้องพิจารณาถึงดัชนีนี้อย่างถี่ถ้วนเพื่อให้การดำเนินนโยบายในแต่ละระดับมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้นๆ สุดท้ายนี้ การทำความเข้าใจดัชนี GDP Deflator และการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องยังจำเป็นต้องอาศัยความตั้งใจและความระมัดระวังในการประมวลผล เนื่องจากเศรษฐกิจเป็นระบบที่มีความซับซ้อนการวิเคราะห์ที่ถูกต้องและครบถ้วนมีความสำคัญอย่างมากเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจและการวางแผนที่ดีที่สุดสำหรับทุกภาคส่วนของสังคม เว็บไซต์ eulerpool ของเรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอข้อมูลดัชนีราคาผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศพร้อมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคที่ครอบคลุมและทันสมัย เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญและใช้ในการวิเคราะห์เศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ